เมตาเวิร์สยังไม่ตาย เซ็นทรัล รีเทล ดึง “เบ็คกี้ รีเบคก้า” นักแสดงสาย “เกิร์ลเลิฟ” เปิดตัวแพลตฟอร์ม C-Verse ช็อปปิ้งบนโลกดิจิทัลทวิน ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
ซึ่งครั้งนี้ได้พัฒนาโครงการ C-verse ใน CRC Immersive Retail Platform ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหลายส่วน ทั้งการเชื่อมต่อกับ Generative AI มาสร้างโลกเสมือนที่เชื่อมทุกช่องทางการช็อปปิ้งทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย Live Streaming และ Virtual Store ไว้ด้วยกัน
“กระแสเมตาเวิรฺ์สที่หายไป ไม่ได้ทำให้พื้นฐานทางเทคโนโลยีหายไป และผู้คนมีแนวโน้มต้องการประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะคนเจน Z หรือที่อายุไม่เกิน 30 ปี คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยี”
และยิ่งการเปิดตัวแว่น AR ของแอปเปิลจะยิ่งทำให้กระแสของโลกเสมือนกลับมาอีกครั้ง และ C-Verse ของเราก็จะเข้าไปอยู่ในบริการของแอปเปิล แน่นอนว่ากลุ่มลูกค้าที่ใช้งานแพลตฟอร์มนี้จะเฉพาะกลุ่มมาก ๆ และมีกำลังซื้อสูง และเป็นเป้าหมายที่อยากจะขยายไป
เพราะครั้งที่เราเปิดแคมเปญครบรอบ 70 ปี เซ็นทรัล เราทำ NFT และมีเกมมีกิจกรรม เราได้กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่เป็นผู้ชาย 50% จากฐานลูกค้าเดิมเราที่เป็นผู้หญิงกว่า 75% ทำให้เห็นว่าเราสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และขยายกลุ่มลูกค้าได้ และครั้งนี้เรามองกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมา
เหตุผลเลือก “เบ็คกี้ รีเบคก้า”
นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลือก “เบ็คกี้” รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง นักแสดงซีรีย์วาย สาย “เกิร์ลเลิฟ” ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญคือมีบุคลิกที่สามารถแปลงเป็น “อวตาร์” ได้ดีมาก ๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของเกมและกิจกรรมในโลกเสมือน
โจทย์ใหญ่ คือกลยุทธ์การสื่อสารที่เราไม่ใช้คำว่าเมตาเวิร์ส แต่จะใช้คำว่า Immersive experience หรือประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เหนือกว่าแตกต่างกว่าเดิม รวมถึงยังต้องการข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้ทดลองใช้เพื่อนำไปพัฒนาบริการต่อ ตั้งเป้าว่าสิ้นปี จะมีผู้ดาวน์โหลด C-Verse 30,000 ครั้ง”
การพัฒนาและสำรวจช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเสริมประสบการณ์ช็อปปิ้ง ตอกย้ำเป้าหมายของเซ็นทรัล รีเทล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันทั้ง Ecosystem มุ่งสู่การเป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer แห่งเอเชีย ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence
ด้านนางณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะที่เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำค้าปลีกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และเป็น First Mover ในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาธุรกิจ และสร้างสรรค์บริการที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอยู่เสมอ
เรามองเห็นเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงได้วางแผน คิดค้น และสร้างรีเทลแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด ด้วยการเปิดตัว CRC Immersive Retail Platform เป็นครั้งแรกของโลก
โดยมี C-Verse เป็นโปรเจ็กต์ภายใต้ CRC Immersive Retail Platform ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสอีกขั้นของประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบใหม่ที่เหนือกว่าออมนิแชนเนลที่เคยมีมา เสมือนการเดินช็อปปิ้งอยู่ในห้างจริง พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีในการนำเสนอสินค้าในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้อย่างเสมือนจริงยิ่งขึ้น
เลือกหยิบสินค้าจากเชลฟ์ในแบบ 3 มิติ
โดยลูกค้าสามารถเลือกหยิบสินค้าจากเชลฟ์ในแบบ 3 มิติ ที่ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสหมุนดูได้ 360 องศา และสามารถสั่งซื้อสินค้าได้จริงผ่านบริการ Personal Shopper เพิ่มความตื่นเต้นด้วยฟีเจอร์โดดเด่นผ่านเทคโนโลยี Generative AI
เช่น การมีผู้ช่วยส่วนตัวเป็น AI Avatar ที่สามารถโต้ตอบ ให้คำแนะนำได้แบบเรียลไทม์ และทำให้การช็อปปิ้งสนุกสนานมากขึ้น สามารถเปิด AR Mode เพื่อเชื่อมการช้อปปิ้งของลูกค้าที่อยู่ต่างแพลตฟอร์มกันระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนให้ร่วมกันช็อปปิ้ง ถ่ายรูป และ Gamification ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นต้น
ความพิเศษ ซึ่งยังไม่เคยมี Virtual Store ใดในเมืองไทยสร้างประสบการณ์แบบครบวงจรในลักษณะนี้มาก่อน C-Verse จึงนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของเซ็นทรัล รีเทล โดยเริ่มต้นจากท็อปส์ คลับ และมีแผนในการขยายไปยังกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ภายในเครือ ทั้งกลุ่มสินค้าบิวตี้ และกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ตลอดจนห้างสรรพสินค้าในยุโรป อย่างรีนาเชนเต ประเทศอิตาลี เพื่อเชื่อมโยงผู้คนทั้งโลกให้ได้รับประสบการณ์การช็อปปิ้งอย่างเหนือระดับจากที่ไหนก็ได้ในโลก และทำให้ธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล กลายเป็นเดสติเนชั่นของการใช้ชีวิตในทุกทุกช่องทางทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย Live Streaming และ Virtual Store อย่างไร้รอยต่อ ตามเป้าหมายสู่การเป็น Next-Gen Omnichannel ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
สำหรับการใช้งาน C-Verse จะเริ่มจากการที่ลูกค้าเดินช็อปปิ้งบนโลกเสมือน ผ่านตัว Avatar ที่ Customize เองได้ และสามารถกดเลือกสินค้าลงตะกร้า ไปจนถึงขั้นตอนการชำระเงิน และจัดส่งถึงบ้านภายใน 1-2 วัน พร้อมด้วย 4 ฟีเจอร์หลัก ซึ่งประกอบไปด้วย
ไอคอน Product Highlight อาทิ โซนแคมปิ้ง มีสินค้าให้เลือกชมกว่า 20 รายการ รายละเอียดของสินค้า
จะถูกถ่ายทอดโดย ‘พะพราว’ (อินฟลูเอ็นเซอร์เสมือนจริง) เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าใจถึงประโยชน์ของสินค้ามากขึ้น
ไอคอน AI Chatbot พบกับ ‘Annie’ ในรูปแบบแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ ChatGPT พัฒนาขึ้นสำหรับผู้ใช้งานภายใน C-Verse โดยเฉพาะ เพื่อตอบทุกคำถามและข้อสงสัยที่ลูกค้าต้องการ โดยจะปรากฏขึ้น
เมื่อผู้ใช้งานกดไอคอน Annie และสามารถถาม-ตอบคำถามได้แบบเรียลไทม์ ให้ลูกค้าได้เพิ่มความตื่นเต้นและเพลิดเพลินกับการช็อปปิ้งอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ไอคอน Mini Game เกมที่จะมาเพิ่มความสนุกสนานให้กับการใช้งาน ในคอนเซ็ปต์ของการล่าสมบัติ กติกาคือผู้เล่นจะต้องค้นหาและเก็บรวบรวม NFT ที่มีทั้งหมด 6 แบบ เพื่อแลกรับของรางวัลสุดพิเศษ โดยผู้เล่นจะต้องเดินหา NFT ที่จะปรากฏแบบสุ่ม จากทั้ง Virtual mode ซึ่งสามารถใช้งานจากที่ไหนก็ได้ และ AR mode ใช้ได้เฉพาะที่ ท็อปส์ คลับ พระราม 2 เท่านั้น
ไอคอน Photobooth กิจกรรมยอดนิยมอย่างบูทถ่ายภาพเสมือนจริง ให้ผู้ใช้งานได้ถ่ายภาพร่วมกับเพื่อน ครอบครัว หรือ “พะพราว” เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกและสร้างสรรค์เป็นคอนเทนต์แชร์ลงโซเชียลมีเดียที่ไม่ซ้ำใคร
กับมุมที่เป็นเอกลักษณ์ และท่าทางที่ต้องการตามความชอบเพื่อให้ Avatar โพสต์ท่าตาม และยังสามารถ
ถ่ายรูปตัวเรากับอวตารของตัวเองและเพื่อนภายในร้านได้อีกด้วย
จับมือ หัวเว่ย คลาวด์ สนับสนุนแอปพลิเคชั่น C-Verse
นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังได้ร่วมมือกับ หัวเว่ย คลาวด์ ในการสนับสนุนแอปพลิเคชั่น C-Verse ซึ่งรองรับความหลากหลายของเทคโนโลยี ช่วยให้การเชื่อมต่อแพลตฟอร์มระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้ระบบและแอปพลิเคชั่นมีความคล่องตัว ตอบโจทย์การสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ด้าน ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือกับเซ็นทรัล รีเทล ว่า หัวเว่ย ในฐานะผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และระบบคลาวด์ระดับโลก เรามีความพร้อมทั้งด้านกลยุทธ์ ด้านการวิจัยและพัฒนา ในการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและเชื่อมต่อได้อย่างไร้รอยต่อ
“แนวโน้มของธุรกิจจะต้องเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืนและเปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งหัวเว่ยเราอยู่ในส่วนสำคัญในการช่วยธุรกิจทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น อย่างกรณีการช็อปปิ้งหรือค้าปลีก แม้ว่าสถานการณ์โควิดจะกลับมาปกติแล้ว แต่ผู้คนก็ได้เห็นและได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีกว่าในการใช้งานดิจิทัล ทำให้ต้องพัฒนาแพลตฟอร์มให้เป็น Online to Offline ให้ต่อติดกัน”
ที่มา https://www.prachachat.net/
No Comments