ภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการมีขนาดตลาดมากกว่า 4.4 ล้านล้านบาทและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในปี 2567 เจอปัญหาจากความเสี่ยงและท้าทายทั้งในและนอกประเทศ ทำให้ต้องมีมาตรการจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของภาคค้าปลีกให้แข็งแกร่งขึ้น
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาคค้าปลีกขยายตัวมากกว่าจีดีพีของประเทศ ให้แรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต แต่ในปี 2566 การขยายตัวของภาคค้าปลีกลดลง สอดคล้องกับการขยายตัวของจีดีพีที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.6-1.7% การเติบโตของภาคค้าปลีกก็ช้าลงจากก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ภาคค้าปลีกยังมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศอยู่
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมาที่ต่ำกว่า จีดีพี มีปัจจัยหลักมาจากทั้ง ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงปัจจัยลบสำคัญคือการมีสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาด ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนมูลค่าหลักแสนล้านบาท และเม็ดเงินเหล่านี้ถูกดึงออกนอกประเทศถึงสองในสามของเม็ดเงินทั้งหมด กระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและธุรกิจในประเทศ รวมถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง 90% ของจีดีพี และปัญหาหนี้นอกระบบ
นายญนน์เล่าว่าในปีนี้ค้าปลีกอาจขยายตัวน้อยกว่าจีดีพีที่ประมาณว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับ 2-3% ถ้าภาครัฐบาลไม่แก้ไขปัญหาสินค้าจีนราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดอย่างมาก การไม่มีมาตรการทางภาษีให้กับกลุ่มสินค้าเหล่านี้เป็นช่องว่างทำให้สินค้าจีนมหาศาลเข้ามาตลาดในประเทศไทยได้อย่างง่ายดาย
ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกระตุ้นการใช้จ่าย
นอกจากการจัดการปัญหาดังกล่าว สิ่งที่รัฐจะน่าจะต้องหาทางแก้ไขคือการหามาตรการดึงต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและใช้จ่ายในไทยยาวนานขึ้น ซึ่งอาจจะรวมถึงการใช้มาตรการทางภาษีมากระตุ้น เช่น การจัดทำดิวตี้ฟรีโซน อย่างพื้นที่ภูเก็ต เพื่อประเมินตลาดและผลตอบรับ ร่วมกระตุ้นภาคค้าปลีกและท่องเที่ยวไปด้วยกัน
ในเวลาเดียวกัน ควรหามาตรกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบน เช่น มาตรการช้อปลดหย่อนภาษีที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เป็นมาตรการที่ร่วมกระตุ้นตลาดกลางและบนให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รัฐบาลควรปรับรูปแบบมาตรการใหม่ให้สร้างสรรค์มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ตลาดนี้มีการใช้จ่าย รวมถึงการแก้ไขปัญหากลุ่มที่ไม่มีกำลังซื้อในประเทศให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง
กางแผนลงทุนเซ็นทรัลรีเทลปี 2567
เป้าหมายเพิ่มรายได้ 11-14% โดยมุ่งขยายธุรกิจรีเทลใน 4 กลุ่มหลัก เช่น แฟชั่น, ฟู้ด, ฮาร์ดไลน์, และพร็อพเพอร์ตี้ ใน 3 ตลาดสำคัญ ไทย, เวียดนาม, และอิตาลี โดยลงทุนในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25% และมีการปรับโฉมห้างและเพิ่มสาขาใหม่ในกลุ่มแฟชั่น และการเปิดสาขาใหม่ในกลุ่มฟู้ด และฮาร์ดไลน์ พร้อมทั้งการเปิดร้านใหม่ในเวียดนามในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้
กลุ่มฮาร์ดไลน์จะเพิ่มสาขาไทวัสดุใหม่ 9-10 สาขาและปรับปรุง 4 สาขา เช่น ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เหงียนคิม ในเวียดนาม ในขณะที่กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้จะพัฒนาและปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนขยายศูนย์การค้า GO! ในเวียดนามอีก 3 สาขา โดยระบุว่าจะมีสาขารีเทลทั้งหมด 42 สาขาใน 42 จังหวัดในปี 2567 ครอบคลุมทั้งพื้นที่ในเวียดนาม
ที่มา: ‘เซ็นทรัล’ ชี้ค้าปลีกเสี่ยงโตต่ำ‘จีดีพี’ จี้รัฐแก้ปัญหาสินค้าจีนตีตลาด (bangkokbiznews.com)
admin ทรรศน์
No Comments