ปัจจุบันบ้าน 3 ชั้นในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เปิดขายก่อนปี 2560 บางส่วนยังขายไม่หมด เพราะเป็นโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายเล็ก ส่วนกลุ่มที่พัฒนาบ้าน 3 ชั้นในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสัดส่วนกว่า 75% จากข้อมูลพบว่า บ้าน 3 ชั้น ในกรุงเทพฯ ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนมากกว่าระดับราคาอื่นคิดเป็นสัดส่วน 83% ของบ้าน 3 ชั้นทั้งหมดในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวน 1,350 ยูนิต ขณะที่บ้านต่ำกว่า 3 ชั้น จะมีสัดส่วนของยูนิตที่มีราคาขายต่ำกว่า 15 ล้านบาทต่อยูนิต มากถึง 71%
โดยบ้าน 3 ชั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีราคาที่ดินค่อนข้างสูง เพราะเมื่อพัฒนาเป็นบ้าน 3 ชั้นในราคาขายสูง ดูแล้วสมเหตุสมผล เพราะพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น สำหรับทำเลโครงการบ้าน 3 ชั้นส่วนใหญ่ เป็นทำเลเดียวกับบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตแต่จะอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากเมืองชั้นในมากนัก หรือไม่ไกลจากแนวของเส้นทางรถไฟฟ้า ถนนวงแหวนรอบกรุงเทพฯ หรือทางพิเศษต่างๆ ที่ราคาที่ดินค่อนข้างสูง
“บ้านเดี่ยว 3 ชั้นอาจมีขนาดที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา เหมือนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น แต่พื้นที่ใช้สอยในบ้านเริ่มต้นที่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งมากกว่าบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เพราะราคาขายเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านบาทต่อยูนิต และส่วนใหญ่ขายราคาไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิต”
แม้ว่าบ้าน 3 ชั้นในกรุงเทพฯ ยังมีจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงเปิดขายบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เพื่อเป็น “ทางเลือก” ของกลุ่มผู้ซื้อแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นสินค้าหลักเหมือนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งมีดีมานด์มากกว่า
สอดคล้องกับแนวทางการทำตลาดของ “ศุภาลัย” ได้พัฒนาโครงการ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สรงประภา-ดอนเมือง” บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมหรู 3 ชั้น บนพื้นที่ 14 ไร่ จำนวน 134 ยูนิต คอนเซปต์ “ใช้ชีวิตที่ลงตัว บนทำเลที่คุ้นเคย” กับ 3 แบบบ้าน ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท 10.99 ล้านบาท และ 13 ล้านบาท
ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เปิดตัวโครงการ “วาวิล่า สุขุมวิท 77” บ้านหรู 3 ชั้น มูลค่า 750 ล้านบาท จำนวน 23 ยูนิต พร้อมลิฟท์ส่วนตัวทุกหลัง พื้นที่ใช้สอย 400 – 557 ตารางเมตร บนพื้นที่ 6 ไร่ ราคาเริ่มต้น 25-40 ล้านบาท มีจุดเด่นด้านดีไซน์ ได้แรงบันดาลใจจากย่าน น็อตติ้ง ฮิลล์ ประเทศอังกฤษ
วสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ที่ผู้นำครอบครัวอยู่ในกลุ่ม Gen Y มีสมาชิกในครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีช่วงอายุของสมาชิก 3 รุ่น จึงให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฟังก์ชันต้องรองรับความต้องการของทุกคนในครอบครัว มีความเป็นส่วนตัว มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ต้องการเทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย และอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก
แหล่งที่มา www.bangkokbiznews.com
No Comments