• 27 July 2024

“ลาซาด้า” เริ่มทำกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยมีรายได้รวม 14,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% กำไรสุทธิ 226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105%

อย่างไรก็ตามการปิดตัวของการปิดตัวของธนาคารในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Silicon Valley Bank Signature Bank และ Silvergate Bank ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับฝากเงินและการปล่อยกู้ที่กระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้ากลุ่มกองทุน Venture Capital กลุ่มธุรกิจ ฟินเทค และ สตาร์ทอัพ เป็นตัวเร่งให้ Take Startup ทุกราย ที่พึ่งพาเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุน จำเป็นต้องดิ้นรน ปรับธุรกิจ ลดคน ขึ้นค่าบริการ เพื่อเร่งสร้างกำไร เพราะการระดมทุนจากนักลงทุนมีความยากลำบากมากขึ้น

ล่าสุดช้อปปี้ ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ดำเนินธุรกิจในไทยมา 8 ปี กำลังพลิกธุรกิจที่ขาดทุนสะสมมานับหมื่นล้านบาท เข้าสู่การทำกำไรเป็นปีแรกในปี 2565 ที่ผ่านมา ภายหลังปรับโครงสร้าง ทางธุรกิจ มีการลดคน และปรับแนวทางธุรกิจ โดยปี 2565 ช้อปปี้มีรายได้ 21,709 ล้านบาท เติบโต 62.96% เมื่อเทียบกับปีก่อน และสามารถพลิกจากการขาดทุนในปี 2564 ราว 4,972 ล้านบาท มาเป็นกำไร 2,380 ล้านบาท

ขณะที่คู่แข่งอย่างลาซาด้า ยังคงโกยกำไรต่อเนื่อง โดยมีรายได้ปีประมาณ 20,675 ล้านบาท เติบโตขึ้น 40.89 % มีกำไรราว 413 ล้านบาท

ถึงเวลาดิจิทัลแพลตฟอร์มสร้างรายได้โกยกำไร

แพลตฟอร์มดิจิทัลที่กำลังสร้างผลกำไรอย่างหนัก ช่วงนี้เห็นจะเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอ สตรีมมิ่ง นำโดย เน็ตฟลิกซ์ Netflix จะเริ่มส่งอีเมลไปยังผู้ใช้บริการที่ใช้บัญชีเดียวกัน โดยใช้บัญชี Netflix กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในครัวเรือนเดียวกัน ทั้งนี้หากต้องการแชร์ Netflix กับบุคคลที่อยู่นอกครัวเรือน สามารถใช้ฟีเจอร์ต่อไปนี้ได้ ฟีเจอร์ย้ายโปรไฟล์ สมาชิกทุกคนที่มีโปรไฟล์อยู่ในบัญชีสามารถย้ายโปรไฟล์ไปไว้ในบัญชีใหม่ที่ตนชำระค่าบริการได้ และซื้อบริการสมาชิกเสริม สามารถแชร์ Netflix กับบุคคลที่ไม่ได้อยู่อาศัยอยู่ด้วยกันได้ โดย จ่ายเพิ่มอีก 99 บาทต่อเดือน

โดยการบังคับให้ผู้ใช้จ่ายเงินซื้อบัญชีรองเพิ่มนี้ เป็นหนึ่งในความพยายามของ Netflix ที่จะเรียกรายได้เพิ่ม ชดเชยกับยอดที่เสียไปจากการที่ผู้ใช้บางส่วนแชร์รหัสกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าสมาชิก

ขณะที่ Disney+Hotstar แพลตฟอร์มวิดีโอ สตรีมมิ่ง ได้ ประกาศราคาแพ็กเกจใหม่สำหรับสมาชิกปัจจุบันและสมาชิกใหม่ โดยตั้งแต่ วันที่ 29 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป Disney+Hotstar จะมีแพ็กเกจหลัก 2 รายการ ได้แก่ แพ็กเกจ Disney+Hotstar มือถือ ค่าบริการ รายเดือน 99 บาท/เดือน | รายปี 799 บาท/ปี สามารถดูได้ 1 หน้าจอ และแพ็กเกจ Disney+Hotstar พรีเมียม ค่าบริการรายเดือน 289 บาท/เดือน (รายปี 2,290 บาท/ปี) ดูได้ 4 หน้าจอ

ส่วนอีกดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ส่งสัญญาณ การทำกำไรปีนี้ปีแรก คือ เดลิเวอรี่ นำโดย แกร็บ ที่แกร็บ ประเทศไทย ซึ่งจดทะเบียนภายใต้บริษัท บริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศภายในสิ้นปี 2566 จะสร้างกำไรเป็นปีแรก ภายหลังจากปี 2564 ขาดทุนราว 200 ล้านบาท ส่วนตัวเลขขาดทุนปี 2565 ยังไม่ได้มีการประกาศ โดยกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้แกร็บ สร้างผลกำไรคือ การเพิ่มยอดค่าใช้จ่ายต่อการสั่งออเดอร์แต่ละครั้งสูงขึ้น (Average Order Value) และการสร้างรายได้จากบริการแกร็บคาร์ภายหลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมา

ที่มา : thansettakij.com

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *